[ รอการตรวจสอบ / แก้ไข ] การเชื่อมต่อระหว่าง gns3 กับอุปกรณ์ต่างๆนั้น ตัวอย่างแบบง่ายๆ ที่เราสามารถเอามาลองได้เองอย่างนึง ก็คือการทดลอง
เชื่อมต่อระหว่าง gns3 กับ loopback adapter ของเครื่องที่เราใช้งาน เพื่อใช้ในการทดสอบการ telnet ไปยังอุปกรณ์่ใน lab
เรื่องของการทำให้อุปกรณ์ใน gns3 สามารถติดต่อกับ loopback adapter ได้นั้น ก็ไม่มีอะไรมากมาย หลักการคร่าวๆ ก็คือ
เราจะต้องทำการสร้าง network cloud ขึ้นมาก่อน จากนั้นก็ทำการเพิ่ม nio ของ loopback adapter เข้าไปยัง nio_gen_eth
แล้วก็สั่งให้ router ทำการเชื่อมต่อ lan interface ของตัวเองเข้ากับ cloud ที่เราสร้างขึ้น ก็สามารถใช้งานร่วมกันได้แล้ว
ตัวอย่างต่อไปนี้ เป็นตัวอย่างแบบละเอียดๆ ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ใน gns3 เข้ากับ loopback interface ของ windows
ขั้นตอนการคอนฟิกมีดังนี้ - ทำการติดตั้ง loopback adapter ลงไปในระบบของ windows
- ทำการสร้าง network cloud และการ map ค่ากับ adapter ที่ต้องการ
- ทำการสร้าง router และติดตั้ง ethernet module
- ทำการสร้างการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์
- ทำการตั้งค่า ip ให้กับ adapter และ interface ของอุปกรณ์
การติดตั้ง loopback adapterloopback adapter นั้น เป็น adapter ที่มีมาให้กับ windows เรียบร้อยแล้ว เราไม่ต้องไปหาจากไหนเลย
เราสามารถติดตั้ง adapter ตัวนี้ ได้เหมือนกับการติดตั้งอุปกรณ์ทั่วไปใน windows ขั้นตอนของการติดตั้งมีดังนี้
1.ไปที่ start -> setting -> control panel ->add hardware จากนั้นกด next
2.จากนั้นเลือกหัวข้อ yes , I jave already connected tha hardware แล้วกด next
3.เลือกหัวข้อ add new hardware device (ตัวล่างสุด) แล้วกด next
4.เลือกหัวข้อ install the hardware that i manually select form a list แล้วกด next
5.เลือกติดตั้ง network adapter แล้วกด next
6.เลือกหัวข้อหลัก microsoft แล้วเลือกชนิดของ microsoft loopback adapter แล้วกด next
จากนั้นระบบก็จะติดตั้ง microsoft loopback adapter ถ้าทำเสร็จแล้วจะขึ้นว่า finish ก็ถือว่าติดตั้งเรียบร้อย
*** สำหรับผู้ที่เริ่มตั้งค่าเมนูแบบ category view ตอนไปที่ control panel ให้เลือกหัวข้อ Printers and
Other Hardware แล้วกดที่ see also แล้วค่อยเข้า add new hardware ( ผมใช้แบบ classic view )
ถ้าเราใช้ windows รุ่นอื่นที่ไม่ได้ xp สามารถดูวิธีการติดตั้ง loopback adapter ได้ที่บทความเรื่อง
How to install loopback adapter in vista ที่มาจากเว็บ 7200.hacki.at ครับ (ดูตรงล่างๆนะ) ^_^
การสร้าง network cloud และการ map ค่ากับ loopback adapterเราสามารถสร้าง cloud ขึ้นมาได้ ด้วยลาก symbol ของ cloud ออกมาจาก node type ที่อยู่ทางด้านซ้ายเข้ามายัง
หน้าจอ work spaca ของเรา หลังจากนั้นคลิกคลิกที่ cloud แล้วกดเม้าส์ขวา เลือกหัวข้อ configure จากนั้นคลิกที่
ชื่อของ cloud เช่น c1 แล้วให้ดูใtab ที่ชื่อว่า NIO Ethernet แล้วดูที่หัวข้อย่อย Generic Ethernet NIO แล้วให้เลือก
ค่าที่เป็นของ ms loopnack adapter แล้วกดปุ่ม add จากนั้น ก็ถือว่าเราทำการติดตั้งค่าในส่วนนี้เรียบร้อยแล้ว
การสร้าง router และติดตั้ง ethernet moduleสำหรับการสร้าง router เพื่อนำมาใช้งานนั้น ให้เราไปเลือก router รุ่นที่เราต้องการมาจาก node type มาใช้งาน แล้วให้
ดับเบิ้ลคลิกไปที่ router หรือ คลิกเม้าขวาแล้วเลือกหัวข้อ configure เพื่อทำการเข้าไปตั้งค่าเพิ่มเติมให้กับอุปกรณ์ จากนั้น
คลิกที่ชื่อ router แล้วเข้าไปที่หัวข้อ slot แล้วให้ทำการ ติดตั้ง module ที่เป็น fast ethernet แบบที่สามารถตั้ง ip ได้
เช่น ถ้าใช้งาน 3640 ก็สามารถ ติดตั้ง NM-4E และ NM-1FE-TX เพื่อใช้ในงานนี้ได้ สำหรับรุ่นอื่นนั้น ขอให้เลือกใช้
พวก module ที่มี lan interface ที่สามารถตั้ง ip ได้ก็พอ (ถ้ามีการใช้งาน 802.1q trunk ก็ควรเลือก NM-1FE-TX )
การสร้างการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์การสร้างการเชื่อมต่อนั้น ทำได้โดยกดที่ toolbar ชื่อ add link (รูปหัวของสายแลน) เลือกการเชื่อมต่อเป็นแบบ manual
จากนั้นให้ไปคลิกที่ router แล้วเลือก interface ที่ต้องการ จากนั้น ก็ลากเส้นการเชื่อมต่อเข้าไปที่ cloud แล้วคลิกที่ nio
ที่เราต้องการ เราก็จะได้เส้นการเชื่อมต่อระหว่าง router และ cloud ขึ้นมาแล้วจากนั้น ถ้าเราไม่ต้องการจะเชื่อมต่ออะไรอีก
ก็ให้กลับไปคลิกที่ปุ่ม add link อีกครั้ง เพื่อยุติสร้างการเชื่อมต่อ
ถ้าหากว่าเราติดตั้งทั้งหมดไม่มีอะไรผิดพลาด หลังจากที่ทำการเราเชื่อมต่อ router กับ network cloud แล้ว เวลาที่เรา
เอาเม้าส์ไปจ่อที่ตัว router ก็จะขึ้นข้อความแสดงสถานะขึ้นมาให้เราดู ซึ่งในนั้น จะบอกว่า เราได้ทำการเชื่อมต่อ interface
ของ routerเข้ากับของ loopback adapter เรียบร้อยแล้ว (จากตัวอย่างจะเห็นว่าเราเชื่อมกับ real PCAP\device\npf_ … )
การตั้งค่า ip ให้กับ loopback adapter และ interface ของอุปกรณ์สำหรับใครที่เป็นมือใหม่ หรือ ยังไม่ค่อยคุ้นกับการตั้งค่าอะไรพวกนี้ ก็สามารถดูวิธีการตั้งค่า ip ตามตัวอย่างข้างล่างนี้ได้นะครับ
การตั้งค่า ip ให้กับ loopback adapter นั้น ก็สามารถตั้งใด้เหมือนกับการตั้ง ip ทั่วๆไป โดยที่เราสามารถจะใช้ ip กลุ่มไหนก็ได้
แต่ก็ขอให้อยู่ใน network เดียวกันกับ ip ที่เราตั้งให้กับ interface ของ router ที่จะเชื่อมต่อกันก็เป็นอันใช้ได้ เช่น จากตัวอย่าง
ในรูปข้างบน ผมก็อาจจะ ip ตั้งให้ lan interface ของ router เป็น 10.0.0.1 แล้วก็ตั้งให้ loopback adapter ให้เป็น 10.0.0.2
1.การตั้งค่า ip address นั้น ให้กับ loopback adapter
- คลิกที่ my network place แล้วกดเม้าส์ปุ่มขวา แล้วเลือก property
- ทำการเลือก connection ที่เราสร้างจาก loopback adapter แล้วกดเม้าส์ขวาเลือก property
- ดับเบิ้ลคลิกที่หัวข้อ internet protocol (tcp/ip) เพื่อเข้าสู่หน้าจอการตั้งค่า ip address
- ตั้งค่า ip address ให้เป็น 10.0.0.2 และ subnet mask เป็น 255.255.255.0 เมื่อตั้งเสร็จให้กด ok
- ตั้งค่า default gateway ของ loopback ให้เป็น ip ของ lan interface ของ router ที่เราเชื่อมต่ออยู่
2.การตั้งค่าให้กับ lan interface
จากตัวอย่าง ถ้าเราใช้งาน router รุ่น 3640 แล้วเลือติดตั้ง module เป็น NM-1FE-TX ที่ slot 1
แล้วเชื่อมต่อกับ cloud ทาง interface f1/0 เราก็จะต้องตั้งค่าให้กับ interface f1/0 ดังนี้
Router>en Router#conf t Router(config)#int f1/0 Router(config-if)#ip address 10.0.0.1 255.255.255.0 Router(config-if)#no shut Router(config-if)#exit Router(config)#^Zข้อควรระวังถ้าเรามีการใช้งาน lan card ที่มีการตั้ง ip อยู่แล้ว ก็อย่าไปตั้งซ้ำกับกลุ่มนั้น เช่น ถ้าเราเล่นเน็ตโดยมีการเชื่อมต่อ
อยู่กับ lan card หรือ wireless adapter เราก็อย่าไปตั้ง ip ของ loopback adapter ให้อยู่ใน network เดียวกัน กับ lan card
ที่ใช้งานไม่เช่นนั้น การติดต่อระหว่าง loopback กับ อุปกรณ์ต่างใน lab ของเรา อาจจะเกิดปัญหาได้
นอกจากนี้ ปัญหาอีกอย่างที่จะเกิดขึ้นก็คือเรื่องของ lan card หรือ wireless adapter ที่เราใช้ต่อเน็ตกับ loopback adapter
แย่งกันตั้ง default gateway เพื่อให้ระบบไปใช้ค่าที่เป็นของมัน ซึ่งจะเป็นเหตุให้ loopback ไม่สามารถ ping ไปยังอุปกรณ์อื่นๆ
ที่อยู่คนละ network ได้ ถ้าหากว่าใครมีปัญหาแบบนี้ ก็ให้ disable ตัว lan cad หรือ wireless ที่ใช้งานอยู่ไปเลย
การทดสอบและใช้งานจริงหลังจากที่เราทำขั้นตอนต่างๆตามที่บอกไว้ข้างบน เสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ก็ให้ลองทำการตรวจสอบค่า ip address ของอุปกรณ์
ทั้ง สองฝั่งว่ามีการตั้งค่าเอาไว้เรียบร้อยแล้วรึยัง จากนั้นก็ให้เช็ค ip ของ router และ loopback adapter ว่าอยู่กลุ่มเดียวกันหรือไม่
หลังจากนั้นก็ให้ไปทดสอบว่า router ได้มีเส้นทาง routing ของ ip ที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้วหรือยัง
การจรวจสอบค่า ip ของ loopback ให้ไปที่ cmd ของ windows แล้วใช้คำสั่ง ipconfig /all แล้วดูที่ loopback adapter ..
Ethernet adapter loopback adapter:
Connection-specific DNS Suffix . :
Description . . . . . . . . . . . : Microsoft Loopback Adapter
Physical Address. . . . . . . . . : 02-00-4C-4F-4F-50
Dhcp Enabled. . . . . . . . . . . : No
IP Address. . . . . . . . . . . . : 10.0.0.2
Subnet Mask . . . . . . . . . . . : 255.255.255.0
Default Gateway . . . . . . . . . :การตรวจสอบค่า ip และ ดูสถานะ ของ lan interface ของ router ให้ใช้คำสั่ง show interface เพื่อดูผล
Router#show int f1/0 FastEthernet1/0 is up, line protocol is up Hardware is AmdFE, address is cc05.0b68.0000 (bia cc05.0b68.0000)
Internet address is 10.0.0.1/24
MTU 1500 bytes, BW 100000 Kbit, DLY 100 usec,
. . . .
การตรวจสอบ routing table ของ router ทำได้ด้วยการใช้คำสั่ง show ip route
Router#sh ip route Codes: C - connected, S - static, R - RIP, M - mobile, B - BGP
D - EIGRP, EX - EIGRP external, O - OSPF, IA - OSPF inter area
N1 - OSPF NSSA external type 1, N2 - OSPF NSSA external type 2
E1 - OSPF external type 1, E2 - OSPF external type 2
i - IS-IS, su - IS-IS summary, L1 - IS-IS level-1, L2 - IS-IS level-2
ia - IS-IS inter area, * - candidate default, U - per-user static route
o - ODR, P - periodic downloaded static route
Gateway of last resort is not set
10.0.0.0/24 is subnetted, 1 subnets
C 10.0.0.0 is directly connected, FastEthernet1/0
ถ้าหากตรวจสอบค่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ให้ทำการ ping จาก command prompt ของ windows ไปยัง lan interface
ของ router และ ทำการ ping จาก router มายัง ip ของ loopback adapter ถ้าสามารถ ping ไปและกลับได้จากทั้ง2ฝั่ง
ก็แปลว่าทำการติดต่อติดต่อระหว่างเครื่องของเรา กับ อุปกรณ์ที่อยู่ใน gns3 สามารถได้แล้วครับ
แต่ถ้าหากว่าทำแล้ว เรา ping กันไม่ได้ ให้ลองทำการตรวจสอบ routing ด้วยคำสั่ง show ip route เพื่อดูว่า router ได้มีการ
สร้าง เส้นทาง routing สำหรับกลุ่ม ip ของ loopback adapter และ interface ของ router แล้วหรือยัง ถ้ายังไม่มี routing
ให้ตรวจสอบการตั้ง ip ของ interface และ สถานะของ interface ด้วยว่ามันเป็นอย่างไร (ใช้คำสั่ง show int)
ปรกติ interface ที่เราสร้างขึ้นมาใน router นั้น จะถือว่าสามารถใช้งานได้ ก็ต่อเมื่อมีการกำหนด ip ให้กับ interface อันนั้น
และ interface นั้น จะต้องมีสถานะของ interface / line protocol เป็น up ทํ้งคู่ แล้วถึงจะมี routing ของ ip กลุ่มนั้นขึ้นมา
ถ้าการ ping สำเร็จไปได้ด้วยดีแล้ว ขั้นตอนต่อไป ให้ลองทำการ telnet จาก windows เข้าไปยัง ip ของ interface ที่เชื่อมต่อ
กับ loopback แล้วดูว่ามันเข้าไปได้ไหม จากนั้น ให้ลองตั้ง passward เอาไว้ที่ line vty ของ router ดู แล้วก็ลอง telnet เข้าไป
อีกรอบ ถ้า telnet แล้วติด pass แปลว่า เราสามารถติดต่อไปยัง router ได้เรียบร้อยแล้ว
memo (http://archive.katiproject.info/gns3/connect-gns3-with-loopback-adapter)ปรกติการใช้คำสั่ง telnet ใน gns3 นั้น ไม่ใช่การติดต่อไปยัง line vty ของ router ซึ่งใช้รับ การ telnet ด้วย ip โดยตรง
แต่เป็นการติดต่อเข้าไปยัง line consloe ของ router แทน ทำให้การทดสอบอะไรบางอย่างที่ต้องทำทาง line vty นั้น
ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นการต่อระหว่าง gns3 เข้ากับ loopback adapter จะสามารถช่วยแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้
การ telnet แล้วตามด้วยชื่อของ router แบบที่ใช้ใน gns3 นั้น จริงๆก็คือการ telnet ไปยัง local ip ของเครื่อง แล้วตามด้วย
หมายเลข port ซึ่งเป็นค่าเดียวกับ ค่า console port ของ router การ telnet แบบนี้ เป็นการติดต่อไปยังrouter โดยผ่านทาง
line console ของ router ไม่ใช่ทาง line vty แบบการ telnet ปรกติ
ดังนั้นในทางกลับกัน ถ้าเราทำการ telnet จาก windows โดยพิมพ์ว่า telnet 127.0.0.1 2000 มันก็จะเป็นการ ติดต่อไปยัง
console ของ router ที่มีค่า console port เป็น 2000 นั่นเอง ค่า 2000 เป็นค่าเริ่มต้นของ port ที่ใช้ใน gns3 ค่าตรงนี้จะเป็น
ค่าของ router ตัวแรกที่สร้าง ถ้าสร้างอีกตัวค่าก็จะเพิ่มให้ตัวต่อไปอีก1โดยอัตโนมัตการตั้งค่า console port นั้น
สำหรับค่าของ console port ที่เราตั้งให้กับ router นั้น ถ้าเราไม่อยากได้ค่า 2000 จริงๆแล้วเราจะตั้งให้เป็น หมายเลขอื่นๆก็ได้